หูดข้าวสุกเป็นหนึ่งในปัญหาของการติดเชื้อไวรัสที่บริเวณผิวหนัง โดยส่วนมากแล้วจะมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นการติดเชื้อจากบุคคลเพียงแค่การสัมผัสผ่านรอยโรค ใช้เสื้อผ้าหรือของใช้อื่น ๆ ร่วมกัน รวมไปถึงการสัมผัสกันโดยตรงก็สามารถติดเชื้อของหูดข้าวสุกได้ทันที โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มสีเนื้อที่ปูดขึ้นมาบริเวณผิวหนัง แต่จะมีขนาดเล็ก ไม่มีอาการเจ็บปวดใด ๆ เพียงแต่อาจจะมีอาการคันหรือผื่นแดงบ้างเป็นบางครั้ง
สาเหตุของการเกิดหูดข้าวสุก
หูดข้าวสุกจะเป็นโรคที่ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์ และการสัมผัสผ่านของใช้เสื้อผ้าหรือการสัมผัสโดยตรง จะเป็นการส่งต่อโรคจากบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่ง สามารถเป็นได้กับทุกเพศและทุกวัย จะแสดงอาการออกทันทีเมื่อภูมิต้านทานของร่างกายเริ่มลดต่ำลง ซึ่งจะสามารถติดภายในเด็กเล็กได้มากกว่าผู้ใหญ่อีกด้วย เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กพัฒนาได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ในช่วงเจริญพันธุ์จะพบรอยโรคได้ที่บริเวณของอวัยวะสืบพันธุ์ ที่บ่งบอกให้เห็นว่าเป็นการสัมผัสติดเชื้อด้วยการมีเพศสัมพันธ์หรือเป็นการถ่ายทอดเชื้อโดยตรง สำหรับสาเหตุของโรคหูดข้าวสุก คือ
- การติดเชื้อไวรัสในกลุ่มของ Molluscum Contagiosum โดยจะเป็นการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนังชั้นนอก
- เชื้อไวรัสจะมีของเหลวที่จะทำให้กลายเป็นรอยโรคที่จะติดต่อสู่กันได้ง่าย
- ของเหลวจากเชื้อไวรัส Intracytoplasmic Inclusion Body หรือที่เรียกว่า Molluscum Body จึงทำให้ถ่ายทอดเชื้อผ่านทางการสัมผัสได้ง่าย
- กลุ่มของผู้ใหญ่จะเกิดหูดข้าวสุกที่บริเวณอวัยวะเพศเป็นส่วนใหญ่
- กลุ่มของเด็กจะแสดงอาการหูดข้าวสุกได้ที่บริเวณข้อพับของแขนและขา รวมถึงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- การฟักตัวของเชื้อหูดข้าวสุกจะอยู่ที่ประมาณ 2-7 สัปดาห์ และอาจจะสูงสุดได้ถึง 6 เดือน
- อาการของหูดข้าวสุกจะออกอย่างชัดเจนหลัง 6 เดือนขึ้นไป
- เกิดบริเวณตุ่มขนาดเล็กบนผิวหนังที่จะเป็นตุ่มเดี่ยวและจะขึ้นเป็นกระจุก ภายในบริเวณเดียวกันอาจขึ้นได้ถึง 20 ตุ่ม
- ขนาดของตุ่มจะอยู่ที่ประมาณ 2-5 มิลลิเมตร เมื่อสัมผัสแล้วจะออกเป็นผิวที่เงาและค่อนข้างเรียบ
เมื่อเกิดหูดข้าวสุกแล้ว จะมีอาการอย่างไร
เมื่อคุณเป็นหูดข้าวสุกแล้ว จะสังเกตได้ถึงอาการที่ชัดเจน คือ การขึ้นตุ่มที่ลักษณะคล้ายกับเนื้องอกบริเวณข้อพับแขน, ขา, รักแร้, ขาหนีบ, ลำตัว และอวัยวะเพศ นอกจากนี้ยังสามารถขึ้นได้ทั้งบริเวณของใบหน้าและรอบดวงตา จะขึ้นเป็นลักษณะของกลุ่มหรือกระจุกที่พบได้มากกว่า 1 แห่ง ทั่วบริเวณผิวหนัง ตุ่มของหูดข้าวสุกจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 2-6 มิลลิเมตร และอาจจะใหญ่ได้ 1-3 เซนติเมตรเลยทีเดียว ลักษณะจะออกเป็นสีเหลืองหรือเป็นสีเดียวกับผิวหนังและจะมีรูปทรงโดมหรือทรงกลม
ผิวจะมีความเรียบจนถูกเปรียบเทียบว่าเป็นผิวคล้ายไข่มุกและตรงกลางของผิวจะบุ๋มลงไป เมื่อกดไปที่บริเวณของหูดแล้วจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บ แสบ และคัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เข็มสะกิดแล้วเจาะ เพื่อทำให้น้ำที่อยู่ภายในแตกออกมาได้อีกด้วย แต่จะต้องทำความสะอาดให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ ถ้าหูดเกิดการติดเชื้อแล้วจะกลายเป็นอาการบวมแดงและอาการอักเสบ นอกจากนี้หูดข้าวสุกยังทำให้โรคภูมิแพ้ผิวหนังกำเริบ กลายเป็นผื่นคันและแดง สำหรับการติดเชื้อนั้นสามารถติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนและกลายเป็นอาการผิวแตก พร้อมกลายเป็นแผลเป็นไปในที่สุด
การดูแลและรักษาหูดข้าวสุก
ถ้าคุณต้องเผชิญกับโรคหูดข้าวสุกและต้องการวิธีดูแลรักษา แนะนำให้พบแพทย์ก่อนเป็นเบื้องต้น เพื่อการรับยาปฏิชีวนะและยาทามาเพื่อกำจัดหูดออก พร้อมการดูแลตัวเองดังต่อไปนี้
- เมื่อรู้ว่าเป็นหูดข้าวสุก ควรหลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ไม่สัมผัสของใช้หรือสัมผัสตัวใครโดยตรงเด็ดขาด
- จุดที่เป็นหูดและกำลังรักษา ควรใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมมิดชิดหรือใช้การติดพลาสเตอร์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และการสัมผัสเชื้อโดยตรง
- ไม่ควรเกาหรือแกะบริเวณหูดเด็ดขาด
- ถ้ามีเพศสัมพันธ์ควรเลือกใช้ถุงยางอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี
- สำหรับการใช้ยาจะต้องถูกจ่ายจากแพทย์โดยตรง จะมีการใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก, โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์, ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ เพื่อการทำลายเซลล์ของผิวหนังติดเชื้อและการลอกเชื้อต่าง ๆ ออกจากผิวได้ง่ายขึ้น
- มีการใช้ครีมที่ผสมเรตินอยด์
- ใช้การจี้ทำลายด้วยความเย็นและการรักษาด้วยแสงเลเซอร์
สำหรับผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อน จะปรากฏเป็นอาการอักเสบและบวมแดงที่จะมาจากภูมิคุ้มกันตอบสนองในการต้านเชื้อ ดังนั้นจึงควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาเชื้อลุกลามและทำให้สุขภาพในส่วนอื่น ๆ เสียหาย ทั้งยังอาจก่อให้เกิดปัญหาการอักเสบบวมแดงที่บริเวณดวงตาและกลายเป็นตาบอดได้ง่ายเลยทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.rattinan.com/liposuction/